Feature

Tokyo Olympiad : หนึ่งในสารคดีกีฬายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล | Main Stand

"สิ่งสำคัญที่สุดของโอลิมปิกไม่ใช่ชัยชนะ แต่เป็นการเข้าร่วม" ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง บิดาแห่งโอลิมปิกสมัยใหม่กล่าว

 


10 ตุลาคม 1964 ไม่เพียงเป็นวันเปิดการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งมวลมนุษยชาติที่จัดขึ้นครั้งแรกในเอเชีย แต่ยังเป็นการประกาศศักดาว่า "ญี่ปุ่น" ชาติที่แตกพ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลับมาแล้ว 

เพราะนอกจากการแข่งขันกีฬาที่จัดออกมาได้อย่างน่าชื่นชม พวกเขายังได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแก่สายตาชาวโลก ตั้งแต่การถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปทั่วโลก การเก็บสถิติด้วยคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงรถไฟความเร็วสูง "ชินคันเซ็น" 

ทั้งนี้ราวกับเป็นธรรมเนียมของการแข่งขันโอลิมปิกที่แต่ละครั้งจะมีการสร้างภาพยนตร์สารคดี บอกเล่าเรื่องราวของทัวร์นาเมนต์ตามมา เช่นเดียวกันสำหรับ โอลิมปิก 1964 ที่ถูกนำเสนอผ่านผู้กำกับ คอน อิชิคาวะ ในชื่อ Tokyo Olympiad   

อย่างไรก็ดีผลงานของอิชิคาวะไม่ได้เป็นแค่สารคดีธรรมดา เมื่อมันสามารถผงาดขึ้นไปเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่นในตอนนั้น และครองสถิติยาวนานมาอีกหลายทศวรรษ

เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ? ร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand  

 

ผู้กำกับมวยแทน 

นับตั้งแต่จัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1896 โอลิมปิก มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ก็มีสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวของทัวร์นาเมนต์ตามมามากมาย แต่หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ Tokyo Olympiad ของ คอน อิชิคาวะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ โตเกียว โอลิมปิก 1964 

อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกของคณะกรรมการจัดการแข่งขันโอลิมปิกที่โตเกียว เพราะเดิมทีผู้จัดการแข่งขันมอง อาคิระ คูโรซาวะ ผู้กำกับมากฝีมือชื่อดังในตอนนั้นเอาไว้ ทว่าเนื่องจากปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ของบประมาณที่มากเกินไป บวกกับยื่นคำขาดขอกำกับพิธีเปิดโอลิมปิก ทำให้ผู้จัดต้องตามหาผู้กำกับคนอื่นแทน 

แม้ชื่อเสียงในตอนนั้นอาจจะไม่ได้เอกอุเท่ากับคุโรซาวะ แต่ผลงานของอิชิคาวะก็ได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย โดยเฉพาะภาพยนตร์ต่อต้านสงครามอย่าง The Burmese Harp (1956) และ Fires on the Plain (1959) ที่เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจ และความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม 

"ผู้คนที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นในช่วงสงครามต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง" ดร.อเล็กซานเดอร์ จาโคบี อาจารย์ด้านญี่ปุ่นศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดบรูคส์ ประเทศอังกฤษ กล่าวกับ BBC

"และภาพยนตร์ในช่วงทศวรรษที่ 1950s ก็มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่อุดมสมบูรณ์สำหรับงานศิลปะ" 

อย่างไรก็ดี Tokyo Olympiad คือภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของเขา ทำให้อิชิคาวะต้องทำการบ้านอย่างหนัก และศึกษาสารคดีโอลิมปิกเรื่องก่อน ๆ รวมถึง Olympia (1938) ของเบอร์ลิน โอลิมปิก 1936 ที่กำกับโดย เลนี รีเฟนสตาลฮ์ล ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสารคดีกีฬาที่ดีที่สุดในโลก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีข้อได้เปรียบในฐานะผู้กำกับอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน ที่ทำให้สามารถเข้าถึงวัตถุดิบได้อย่างไม่มีข้อจำกัด รวมถึงมีกองทัพตากล้องที่มากถึง 164 ชีวิต ทีมเทคนิค และอุปกรณ์ที่ล้ำสมัย ที่จะคอยเก็บฟุตเทจ ก่อน ระหว่าง และหลังการแข่งขัน 

ก่อนที่มันจะกลายเป็นสารคดีกีฬาที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก 

 

น้อยแต่มาก 

ความโดดเด่นของ Tokyo Olympiad คือการเลือกเรื่องราวมาเล่า ขณะที่ใน Olympia พูดถึงความยิ่งใหญ่ของชาวอารยันและนาซี อิชิคาวะกลับตั้งใจที่จะเสนอแง่มุมเล็ก ๆ ของการแข่งขัน 

ในภาพยนตร์อิชิคาวะพูดถึงชัยชนะในสัดส่วนที่น้อยมาก และแทบไม่ได้กล่าวว่าชาติใดได้เหรียญเท่าไร ทว่ากลับเน้นถึงเหตุการณ์ที่อาจจะไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงแต่มีความเป็นไปของมัน 

ไม่ว่าจะเป็นภาพนักมวยปล้ำกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงแข้งขาพันกันจนมีสีหน้าที่อึดอัด การแข่งเดินเร็วที่ดูน่าขันจากการที่นักกีฬาพยายามส่ายหัวและก้นเพื่อเร่งความเร็ว ไปจนถึงภาพการแข่งยิงปืนด้วยมุมมองแบบโคลสอัพที่ฉายให้เห็นดวงตาที่กำลังตั้งสมาธิ 

ทำให้แม้ว่าขอบเขตในการนำเสนอและโปรดักชั่นของอิชิคาวะจะมีขนาดใหญ่ แต่เขากลับเลือกสิ่งที่ถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่นอาจจะไม่สนใจมาถ่ายทอดได้อย่างมีชั้นเชิง 

ขณะเดียวกันมันยังเต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและใช้ภาพที่ดูแปลกตา ทั้งพิธีกรรมที่เดาไม่ออกว่าคืออะไรก่อนออกไปทุ่มของ อาดอฟ วารานอสคาส นักทุ่มน้ำหนักของสหภาพโซเวียต หรือช็อตที่ อิคูโกะ โยดะ นักวิ่งสาวชาวญี่ปุ่น เอาเลมอนมาวางไว้ที่จุดออกตัว ไปจนถึงเท้าของนักวิ่งมาราธอนที่พองและเต็มไปด้วยเลือดตอนมาถึงเส้นชัย 

"อิชิคาวะเป็นผู้สร้างภาพยนตร์แนวนวนิยาย" ดร.จาโคบี กล่าว  

นอกจากนี้เขายังใช้เทคนิคและมุมกล้องที่ล้ำสมัยในการทำให้หลายซีนตราตรึง เช่น ตอนที่ แอน แพคเก นักวิ่งชาวอังกฤษ ชนะการแข่งขันวิ่ง 800 เมตร เขาเลือกที่จะรีเพลย์ช็อตเข้าเส้นชัยในจังหวะสโลว์โมชั่น ที่ทำให้ได้เห็นช่วงเวลาที่เธอยิ้มให้กับคู่หมั้นที่มองเธอจากข้างสนาม 

ทั้งนี้อิชิคาวะยังมักจะใช้วิธีโคลสอัพเก็บภาพของผู้ชมหรือคนทั่วไปในจำนวนที่ไม่ต่างกับนักกีฬาหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ และมันทำให้เราได้เห็นอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งภาพของเจ้าหน้าที่ที่กระวนกระวายจัดการเพื่อให้การแข่งขันดำเนินไปอย่างราบรื่น ภาพกองทัพนักข่าวที่กำลังพิมพ์ดีดอย่างบ้าคลั่งในห้องเพรส ภาพเด็กน้อยวัยเตาะแตะปรบมือตอนชมการแข่งขันมาราธอน หรือแม้กระทั่งใบหน้าหม่นของผู้ชมตอนที่ฝนเริ่มโปรยปราย 

มันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชน ก็มีสถานะที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตัวแทนของชาติ และสีหน้าของความคาดหวังและความยินดีของพวกเขาคือภาพแห่งความสุขที่คนญี่ปุ่นอยากเห็นหลังผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาหลายปี 

"ช็อตที่น่าประทับใจที่สุดในภาพยนตร์คือการเห็นนักวิ่งคบเพลิงตัวเล็กจิ๋วกำลังวิ่งอยู่โดยมีภูเขาไฟฟูจิขนาดมโหฬารอยู่ด้านหลัง เขาจับภาพเหตุการณ์อันน่าทึ่งครั้งหนึ่งในชีวิตด้วยเลนส์มุมกว้างก่อนพิธีเปิดการแข่งขัน" เจมส์ บัลมอนต์ กล่าวในบทความ Tokyo Olympiad: The greatest film about sport ever made

อย่างไรก็ดี ความยอดเยี่ยมของมันไม่ได้มีแค่นั้น 

 

ฉายภาพความเป็นมนุษย์ 

โตเกียว โอลิมปิก 1964 คือความพยายามที่จะบอกให้โลกได้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ดำเนินไปในแง่บวกตลอดสองทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

ทว่าผลงานเรื่องนี้ของอิชิคาวะกลับห่างไกลกับการโปรโมตความสำเร็จของประเทศ ในภาพยนตร์ของเขา แทบไม่เห็นรถไฟหัวกระสุน "ชินคันเซ็น" ย่านเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู หรือแม้แต่การพูดถึงการคว้ามาได้ถึง 16 เหรียญทองของญี่ปุ่น ทั้งยังรั้งอยู่ในอันดับ 3 ของชาติที่คว้าเหรียญทองมากที่สุดรองมาจากสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต

นอกจากนี้เขาไม่เพียงปฏิเสธการโน้มน้าวของผู้จัดการแข่งขันที่หวังให้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาและพูดถึงผลการแข่งขันของญี่ปุ่น แต่กลับเน้นย้ำจุดยืนของตัวเองในการสร้าง Tokyo Olympiad ด้วยการยกย่องผู้แพ้และคนรองบ่อนมากกว่าผู้ชนะ 

ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่ บิลลี มิลส์ นักวิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะคว้าเหรียญ เร่งสปีดในโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกในการวิ่ง 10,000 เมตร หรือให้ความสำคัญกับ รนาตันเก กรุณารันดา นักวิ่งของซีลอน (ศรีลังกาในปัจจุบัน) ที่เข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายในรายการเดียวกัน ท่ามกลางเสียงปรบมือจากคนทั้งสนาม   

สำหรับอิชิคาวะ เขาให้คุณค่ากับตัวบุคคลมากกว่าชาติที่พวกเขาเป็นตัวแทน และฉายภาพให้เห็นทั้งความทุกข์ทรมาน ความผิดหวัง และความเหนื่อยล้าระหว่างการแข่งขัน ราวกับกำลังจะบอกว่านักกีฬาคือมนุษย์ไม่ใช่ฮีโร และมนุษย์ก็มีขีดจำกัด 

ยกตัวอย่างเช่นในการแข่งขันมาราธอน เขาจับภาพนักวิ่งที่หยุดเพื่อรับเครื่องดื่มเย็น ๆ ทีละคน บางคนวิ่งต่อในทันที แต่หลายคนก็ยอมแพ้และออกจากการแข่งขัน หรือภาพของนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเปลออกไป ไปจนถึงสีหน้าอันบูดบึ้งของนักปั่นจักรยานที่ล้มลงระหว่างการแข่งขัน 

"Tokyo Olympiad เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์นิยมที่ขาดหายไปในสารคดีแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่" ปีเตอร์ โควี นักประวัติศาสตร์และนักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าวกับ Vulture 

เช่นกันกับการแพนกล้องตามนักวิ่งหลังเข้าเส้นชัยที่จะเห็นภาพของคู่แข่งเข้ามาร่วมแสดงความยินดี หรือแม้แต่สีหน้าอันผิดหวังของ โคคิจิ สึบูรายะ นักวิ่งชาวญี่ปุ่น ที่โดน บาซิล ฮีทลีย์ นักวิ่งจากอังกฤษแซงในโค้งสุดท้ายและได้เพียงแค่เหรียญทองแดงไป ก็ทำให้รับรู้ถึงอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี (น่าเศร้าที่ 4 ปีต่อมาสึบูรายะตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากทนความกดดันไม่ไหว) 

แต่ที่จดจำที่สุดคือการให้ความสำคัญกับ อาเหม็ด อิสซา นักวิ่งระยะกลางของชาด ชาติเกิดใหม่ของแอฟริกาที่เพิ่งได้รับเอกราชในปี 1960 แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าไปถึงรอบชิงเหรียญ แต่การมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี 

เขาตามถ่ายอิสซาตั้งแต่ตอนที่เดินทางมาถึงโตเกียว ระหว่างซ้อม เดินเล่นบนท้องถนน วอร์มอัพ หรือลงแข่งตัดสลับกับตอนที่เขาเข้าร่วมพิธีเปิด ไปจนถึงภาพที่เขากินอาหารโดยลำพัง หลังไม่ผ่านรอบคัดตัว ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านรอบตัว 

มันคือการย้ำให้เห็นว่า แม้ว่าเขาจะเป็นนักกีฬาที่ไม่มีใครรู้จักและมาจากประเทศที่ชื่อไม่คุ้นหู แต่เขาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ตัวเขาเองไม่มีวันลืม และดูเหมือนว่ามันจะสำคัญกว่าชัยชนะเสียอีก 

"การตัดต่อและงานภาพในภาพยนตร์ของอิชิคาวะมีความโดดเด่นอย่างมากในสมัยนั้น" โควี อธิบาย

"และการดำเนินเรื่องที่เหมือนกับเสียงโทนสูงต่ำในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือความภาคภูมิใจที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน หลังจากถูกยึดมาเมื่อปี 1940" 

ทว่าอิชิคาวะก็ไม่พลาดที่จะทิ้งลายเซ็นเอาไว้ 

 

สารคดีกีฬาที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสร์ 

แม้ว่า Tokyo Olympiad จะมุ่งเน้นเก็บตกเหตุการณ์ที่หลากหลายของทัวร์นาเมนต์ แต่มันก็ยังย้ำเตือนให้ผู้ชมได้เห็นความเลวร้ายของสงครามที่เคยทำลายประเทศของพวกเขาเมื่อ 19 ปีก่อน 

เพราะหากเทียบกับ Olympia ที่เปิดเรื่องด้วยซากปรักหักพังของ อะโครโปลิสแห่งเอเธนส์ ที่ย้ำเตือนถึงการเกิดใหม่ของโอลิมปิก แต่ภาพยนตร์ของอิชิคาวะดูเหมือนจะพยายามบอกว่าพวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางวันสิ้นโลก 

เริ่มจากฉากเปิดที่เป็นภาพอาคารบ้านเรือนพังยับเยินและกำลังถูกทุบทิ้งเพื่อเปิดทางไปสู่การสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึงความย่อยยับที่เกิดขึ้นจากระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิได้อย่างเป็นรูปธรรม 

หรือช่วงเวลาของการวิ่งคบเพลิงที่ฉายภาพโดมปรมาณูที่ฮิโรชิมา รวมถึงภาพนักวิ่งที่รายล้อมไปด้วยฝูงชน สลับภาพกับแววตาที่อ่อนแรงของหญิงชรา หรือการให้ความสำคัญกับ โยชิโนริ ซาไก คนวิ่งคบเพลิงคนสุดท้ายที่เป็นชาวฮิโรชิมา ที่เกิดในวันที่ 6 สิงหาคม 1945 วันที่ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงมาจนทำลายเมืองจนสิ้นซาก 

ขณะเดียวกัน Tokyo Olympiad ยังเป็นความพยายามบอกโลกว่าญี่ปุ่นได้กลับมาแล้วด้วยภาพดวงอาทิตย์สีแดงที่กำลังขึ้นที่สื่อได้ว่ารุ่งอรุณของชาติกำลังหวนคืนมา และตรงกับคำกล่าวตอนเปิดเรื่องว่า "โอลิมปิกคือสัญลักษณ์แห่งความพยายามของมนุษย์" 

อย่างไรก็ดี ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือสกอร์ของเพลงประกอบภาพยนตร์ที่รังสรรค์โดย โทชิโร มายูซูมิ ที่บางครั้งดูขี้เล่นแต่บางครั้งก็ดูเร้าใจ คล้ายกับเพลงประกอบในภาพยนตร์ Mission Impossible บวกกับการตัดต่อของ ทัตสึโอะ นาคาชิซึ ที่ประกอบฟุตเทจความยาว 70 ชั่วโมงออกมาได้น่าสนใจ 

ทำให้แม้ว่า Tokyo Olympiad จะถูกคณะกรรมการโอลิมปิกญี่ปุ่น (JOC) ขอให้ตัดสั้นลงจากเดิม 165 นาที จนทำให้อิชิคาวะต้องตัดลงเหลือ 93 นาที แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของมันลดลง เพราะมันกลายเป็นหนังทำเงินตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ออกฉาย ก่อนจะมียอดผู้ชมรวมสูงถึง 28 ล้านคน 

สถิติดังกล่าวยังทำให้สารคดีเรื่องนี้ครองตำแหน่งภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่มีผู้เข้าชมสูงสุดตลอดกาล และรักษาตำแหน่งมาได้อีกหลายสิบปี ก่อนจะโดน Spirited Away ของ ฮายาโอ มิยาซากิ ทำลายไปเมื่อปี 2001 

นอกจากนี้ Tokyo Olympiad ยังได้รับเสียงชื่นชมตอนที่ถูกนำไปฉายที่ต่างประเทศ ในเวอร์ชั่น 165 นาที ก่อนจะได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสารคดีโอลิมปิกดีที่สุดตลอดกาล เคียงข้าง Olympia และอยู่ในลำดับต้น ๆ ของ 100 Years of Olympic Films จากการจัดอันดับของ Criterio 

เกือบ 60 ปีแล้วที่ผลงานเรื่องนี้อยู่บนหิ้ง มันยังคงความยอดเยี่ยมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนในฐานะเครื่องบันทึกช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ทั้งกับโลกภาพยนตร์และโอลิมปิกไปพร้อมกัน 

ยิ่งไปกว่านั้นมันคือภาพสะท้อนของความสงบสุขที่โลกและคนญี่ปุ่นถวิลหาที่อาจจะเป็นเรื่องง่าย ๆ และไม่ซับซ้อน แต่กว่าจะได้มามันช่างยากเย็นเหลือเกิน เหมือนกับที่อิชิคาวะทิ้งคำถามไว้ตอนท้ายเรื่องว่า 

"มนุษย์ร่วมแบ่งปันความฝันในทุก 4 ปี เราจะปล่อยให้ความสงบสุขนี้จบลงและเป็นเพียงแค่ความฝันอย่างนั้นหรือ ?"

***หมายเหตุ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถรับชมเวอร์ชั่นเต็มได้ทาง https://olympics.com/en/original-series/episode/tokyo-1964-official-film 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.vulture.com/article/tokyo-olympiad-sports-documentary-olympics.html 
https://www.bbc.com/culture/article/20210722-tokyo-olympiad-the-greatest-film-about-sport-ever-made 
https://theconversation.com/tokyo-olympiad-kon-ichikawas-documentary-of-the-1964-games-is-still-a-masterpiece-163800 
https://www.theguardian.com/sport/2021/jul/21/how-capturing-the-small-details-at-tokyo-64-created-a-masterpiece
https://youtu.be/WHt0eAdCCns 
https://olympics.com/en/original-series/episode/tokyo-1964-official-film 

Author

มฤคย์ ตันนิยม

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น