ทว่าไฟต์ดังกล่าวกลับจบลงแบบที่นกกระจอกก็ไม่ทันกินน้ำ เพราะหลังจากระฆังยกที่ 3 ส่งเสียงกังวานไม่กี่นาที เจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” อย่าง ไทสัน คลุกวงในและกัดหูขวาของคู่ชกอย่าง โฮลีฟิลด์ จนใบหูขาด การชกต้องยุติโดยที่ไทสันถูกตัดสินให้แพ้ฟาวล์ ถูกปรับเงิน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องทำงานช่วยเหลือสังคมตามคำสั่งศาล พร้อมโดนยึดใบอนุญาตชกมวยไปร่วมปี
เชื่อว่าแฟนมวยทั่วโลกคงรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองคนคือยอดคนที่ไม่อาจเดินบนเส้นทางเดียวกันได้ในถนนสายสังเวียน และรู้ว่าพวกเขามีความเป็นคู่อาฆาตระดับตำนานของวงการมวยโลก
อย่างไรก็ตามการที่คน 2 คนเกลียดชังกันจนถึงขนาดที่ว่ามีฝ่ายหนึ่งยอมทิ้งไฟต์เงินล้านด้วยการทำผิดกฎกติกา และยอมเสียค่าปรับมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท แท้จริงเเล้วจุดกำเนิดการจองเวรของ ไทสัน และ โฮลีฟิลด์ คืออะไร? Main Stand ขอพาคุณย้อนเวลากับไปหาเรื่องราวเก่าๆ ในเวลานั้นพร้อมกันที่นี่
หากให้เปรียบกับภาพยนตร์ที่ใช้ชีวิตของ โฮลีฟิลด์ และ ไทสัน เป็นตัวเอกของเรื่องแล้ว พระเอกของเรื่องจะต้องเป็น โฮลีฟิลด์ อย่างแน่แท้ ขณะที่ ไทสัน ก็เหมาะสมกับบทตัวร้ายอย่างแท้จริง
ไทสัน คือเด็กหนุ่มผิวสีที่เติบโตจากสลัมในนิวยอร์ก คุณภาพชีวิตย่ำแย่ มีประสบการณ์ด้านอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว และวิชาชีวิตเหล่านี้สอนให้เขารู้จักป้องกันตัวจนเป็นที่มาของเชิงหมัดเชิงมวยแบบนักเลง
นอกจากความลำบากจะหล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่งเเล้ว เขายังโชคดีที่ได้ กัส ดีอาร์มาโต้ ครูมวยชาวอิตาเลี่ยนที่บังเอิญเปิดค่ายมวยในย่านที่เขาอาศัยอยู่ ก่อนจะเห็นแววของ ไทสัน และรับมาเป็นบุตรบุญธรรมหลังจากที่แม่ของไทสันเสียชีวิต จนที่สุดเเล้ว กัส สามารถเปลี่ยนเวทีให้ ไทสัน จากที่ต่อสู้บนข้างถนน กลายเป็นสังเวียนผ้าใบไฟต์เงินล้านเเทน
"ถ้าไม่มี กัส รับรองได้เลยว่าผมคงอาศัยในอพาร์ทเมนต์ร้างในบราวน์สวิลล์ หรือไม่ก็ตายข้างถนน ตอนนั้นผมเดินตามถนนไม่ได้เลยเพราะใครก็จำหน้าผมได้และจ้องจะเล่นงานผมเสมอ" ไทสัน กล่างถึงบุญคุณที่ กัส ผู้เป็นพ่อบุญธรรมของเขามอบให้
ขณะที่ช่วงชีวิตวัยเด็กของ โฮลีฟิลด์ ก็แทบไม่ต่าง เขาเติบโตมาในแฟลตของรัฐชื่อ โบเวน ในเมืองแอตแลนต้า (ถูกทุบทิ้งไปแล้วตั้งแต่ปี 2009) ซึ่งย่านนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอาชญากรรม แต่ถึงเขาจะรู้จักกับเรื่องดังกล่าว รวมถึงการชกมวยตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เจ้าตัวกลับเลือกที่จะมุ่งมั่นกับการชกมวยแบบไม่มีนอกลู่นอกทาง
เรียกได้ว่าโฮลีฟิลด์นั้นเติบโตบนเส้นทางนักกีฬาของจริง เพราะได้แชมป์หลายทัวร์นาเมนต์ทั้งๆ ที่วัยนั้นเด็กหลายคนยังคิดที่แต่เรื่อง กิน, เล่น และ เรียน เขาผ่านการคัดเลือกเข้าเเข่งขันจูเนียร์โอลิมปิกตั้งแต่อายุ 13 จากนั้นต่อมาอีก 2 ปี ก็กลายเป็นแชมป์ระดับภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสถิติสุดยอดเกินอายุ ชนะไปถึง 160 ไฟต์ และเป็นการน็อคเอาต์ 76 ครั้ง แพ้ไปเพียงแค่ 14 ไฟต์เทานั้นเอง
"เมื่อคุณมีจิตใจที่เข้มเเข็งคุณสามารถเลือกที่สิ่งที่คุณอยากจะเป็นได้" โฮลีฟิลด์ กล่าวถึงคติพจน์ของเขาที่เชื่อในพลังขับเคลื่อนของตัวเองแทนที่จะกล่าวโทษต่อโชคชะตา
นี่คือเส้นทางชีวิตที่เริ่มต้นคล้ายกัน ทั้งสองคนลืมตาดูโลกและได้สู้กับความโหดร้ายทันที เพียงแต่ก้าวต่อไปของพวกเขาเลือกเดือนบนคนละเส้นทาง และนี่คือสวนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวบนเส้นทางนักมวยของทั้งสองคนน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันที่พวกเขาต้องมาประจันหน้ากัน
ความแตกต่างจะไม่มีค่าใดๆ เลยหากว่าพวกเขาเป็นพวกไร้ซึ่งฝีมือ
เราคงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ากิจวัตรการซ้อมและความใส่ใจในอาชีพของทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร ใครคือคนที่มีวินัยกว่า หรือ ใครคือคนที่มีพรสวรรค์กว่า เพราะสิ่งที่กล่าวไปแทบไม่สำคัญเลย เมื่อปลายทางของทั้งคู่คือการไล่ชกคู่แข่งจนยับเยิน เรียกได้ว่าหากคู่ต่อสู้ได้ขึ้นสังเวียนเดียวกับ ไทสัน หรือ โฮลีฟิลด์ ก็เตรียมม้วนเสื่อกลับบ้านรอได้เลย
ไทสัน นั้นเป็นมวยเฮฟวี่เวตที่สูงเพียงแค่ 178 เซนติเมตรเท่านั้น แม้จะตัวเล็กสำหรับมวยรุ่นใหญ่แต่สิ่งที่เขาแตกต่างและได้เปรียบคือสเต็ปเท้าและการโยกเข้าหาคู่ต่อสู้ที่ว่องไวบวกกับพลังหมัดที่หนักหน่วง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ไทสัน จึงก้าวกระโดดขึ้นสู่การเป็นแชมป์โลกอย่างรวดเร็ว
ในปี 1986 ไทสัน อยู่ในช่วงที่พีกที่สุดในอาชีพหลังจากทำสถิติชนะรวดมาถึง 26 ไฟต์ และมีถึง 24 ครั้งที่ "มฤตยูดำ" ตามฉายาของสื่อไทยจากการที่สวมกางเกงและนวมสีดำเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แบบไม่ครบยก
ชื่อเสียงอันโด่งดังกับความเก่งกาจที่ถูกเล่าอ้างทำให้อดีตผู้ใช้ชีวิตข้างถนนอย่างไทสันได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของสภามวยโลก โดยคู่ชกที่เขาต้องเจอคือ เทรเวอร์ เบอร์บิค ชายผู้เอาชนะ มูฮัมหมัด อาลี นักมวยเฮฟวี่เวตอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์ของโลก ซึ่งในไฟต์นั้นเป็นไฟต์สุดท้ายก่อนที่ อาลี จะแขวนนวมอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่า ไทสัน งานเข้าแน่เเล้วหลังจากได้ยินดีกรีของ เบอร์บิค แต่ทุกอย่างแทบไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไทสัน เดินหน้ากระหน่ำหมัดและโชว์ชั้นเชิงใส่เบอร์บิก และหลังจากนั้นเพียง 2 ยก ชายผู้เอาชนะอาลีก็ลงไปกองกับพื้นและโดนนับ 10…
ไทสัน เป็นผู้ชนะแบบใสสะอาด และนอกเหนือกว่าชัยชนะคือเขาได้ประกาศตัวว่าจากนี้ไปมวยรุ่นเฮฟวี่เวตคือยุคสมัยของเขาเเล้ว เพราะในเวลานั้น ไทสัน อายุเพียง 20 ปีเท่านั้นเอง หรือพูดง่ายๆ คือเขาฝึกมวยสากลเพียง 5 ปีเท่านั้นก็กลายเป็นแชมป์โลกได้สำเร็จ
ด้าน โฮลีฟิลด์ ก็ไม่แพ้กัน ความเก่งกาจที่ถูกขัดเกลาตั้งแต่ 7 ขวบทำให้เขากลายเป็นสุดยอดนักมวยในทุกรุ่นที่ได้ลงสังเวียน โฮลีฟิลด์ เริ่มชกอาชีพตั้งแต่รุ่น ไลท์เฮฟวี่เวต มาจนถึงรุ่น ครุยเซอร์เวต
ซึ่งในรุ่น ครุยเซอร์เวต นี้เองที่เป็นเวทีสร้างชื่อในฐานะอัจฉริยะนักชก เป็นสุภาพบุรุษนอกสังเวียน แต่เมื่อใดก็ตามที่ขึ้นชกเขาสามารถโชว์ฟอร์มเทพได้ในทุกไฟต์ จบแมตช์แบบแทบไร้รอยขีดข่วน และไล่ล่าคู่แข่งได้เเบบไร้ความ ปราณี ณ ช่วงเวลานั้น โฮลีฟีลด์ปราบนักมวยตัวเก่งๆ ในรุ่นครุยเซอร์เวตหมดเกลี้ยง คว้าเข็มขัดแชมป์ได้ทั้ง 3 สถาบัน WBC, WBA และ IBF จนได้ฉายาว่า "Real Deal" หรือแปลความเป็นไทยได้ว่า "ของจริง" นั่นเอง
การไล่ปราบนักมวยครุยเซอร์เวตจนเหี้ยนเตียนทำให้ โฮลีฟิลด์ เก่งกาจจนหาคู่แข่งไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องเพิ่มน้ำหนักและขยับสู่รุ่น เฮฟวี่เวต ไปโดยปริยาย
และสิ่งที่เขาจะต้องเจอในช่วงเวลาหลังจากนั้นคือนักมวยเฮฟวี่เวตที่เป็นรุ่นน้องของเขา 3 ปีที่กำลังอาละวาดอยู่ในวงการมวยรุ่นใหญ่ และคนนั้นคือ ไมค์ ไทสัน...
ถึงตรงนี้เส้นทางของเทวาและซาตานได้มาบรรจบกันเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
เรื่องราวที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองเป็นโคตรมวยและมีปูมหลังราวกับหลุดมาจากภาพยนตร์ มันจึงทำให้หาก เทวาได้ขึ้นชกกับซาตาน มันจะเป็นแมตช์ที่ทั้งโลกอยากเห็น และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ได้เวลาที่สื่อจะขยี้ให้สาเเกใจ อย่าว่าแต่การขึ้นชกเลย แม้แต่คำพูดและคำยั่วยุของทั้งไทสันและโฮลีฟิลด์ก็กลายเป็นสิ่งที่คุณอยากจะฟังเหมือนกัน
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนรอคอยและสื่อก็พร้อมจะเขี่ยให้ระอุเพราะศึกนี้ต้องรอนานกันหลายปี เนื่องจากโฮลีฟิลด์ ต้องเข้ารับการรักษาปัญหาโรคหัวใจในปี 1994 ขณะที่ก่อนหน้านั้น 2 ปี ไทสัน ก็ถูกตัดสินจำคุก 6 ปีในคดีข่มขืนนางงามผิวสีของอเมริกา... ช่างเป็นเหตุผลการหันหลังให้เวทีมวยแบบชั่วคราวที่ต่างกันและบอกถึงตัวตนของเเต่ละคนได้ดีจริงๆ
ในที่สุดกว่าทั้งสองคนจะได้ชกกันจริงๆ ก็ปาเข้าไปในปี 1996 เข้าให้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการดวลที่ถูกที่ถูกเวลา ไทสัน ต้องการกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหลังจากชีวิตตกต่ำจำคุกมา 3 ปี (ความประพฤติดีลดกึ่งหนึ่ง) นอกจากนี้เจ้าตัวกำลังคันเขี้ยวสุดๆ หลังจากเพิ่งคว้าแชมป์ WBA ด้วยการเอาชนะ บรู๊ซ เซลดอน ในยกที่ 3 ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ไฟต์ที่เขาชกหลังต้องคดีดังกล่าว
ขณะที่ โฮลีฟิลด์ ก็กำลังเข้าฟอร์มเต็มที่ ปี 1996 คือปีที่ดีของเขาเพิ่งเอาชนะอดีตแชมป์โลกอย่าง บ็อบบี้ ไครซ์ เพียงแต่ว่านาทีนั้นสื่อยกให้ ไทสัน แชมป์ในตอนนั้นเป็นต่อและน่าจะเป็นคนที่มีโอกาสชนะมากกว่า
ส่วนโฮลีฟิลด์นั้นไม่ค่อยถูกพูดถึงในแง่การตอบโต้มากนัก เมื่อมีนักข่าวถามและพยายามเสี้ยมให้ไฟต์ที่รอคอยดูสนุกจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ โฮลีฟิลด์ จะใช้วาจาตอบกลับ ซึ่งถึงแม้เขาจะพูดน้อยแต่คำพูดของเขาช่างแสบสัน
ครั้งหนึ่งนักข่าวเอาไมค์จ่อปากเขาและถามว่ามีอะไรจะบอกไทสันก่อนจะขึ้นชกดรีมไฟต์หรือเปล่า โฮลีฟิลด์ ตอบกลับได้สมฉายา "Real Deal" ว่า "ผมอยากให้ไทสันเตรียมตัวให้พร้อมและซ้อมให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าหากเขาเป็นผู้แพ้เกมนี้จะได้ไม่ต้องมีคำแก้ตัว"
เพียงแค่นี้ก็ทำให้ ไทสัน โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และในทีสุดก็เข้าทางนักข่าวที่โหนกระแสเต็มที่ว่า ไทสัน เดือดถึงขึดสุดพร้อมขยี้ โฮลิฟิลด์ เต็มแก่ในไฟต์นี้
สื่อใช้ ไทสัน เป็นตัวโปรโมตได้เป็นอย่างดี และบางทีมันอาจจะส่งผลให้ถึงการชกในไฟต์นั้นด้วย เพราะแม้ ไทสัน จะเป็นฝ่ายไล่ต้อน โฮลิฟิลด์ ตั้งแต่เริ่ม แต่อาวุธที่ปล่อยไปกลับวืดวาดเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะ โฮลิฟิลด์ เป็นมวยที่มีความเร็วและฟุตเวิร์กยอดเยี่ยม แม้การขยับขึ้นสู่รุ่นเฮฟวี่เวตจะทำให้หมัดของเขาดูเบาลงไปบ้าง (เนื่องจากไม่ใช่มวยรุ่นยักษ์โดยธรรมชาติ) แต่อาวุธของเขาก็ถูกปรับให้เป็นหมัดชุดที่ใช้เล่นงานคู่ต่อสู้ได้ทุกครั้งไป
หลายยกผ่านไปยิ่งดูเหมือนหนังม้วนเดิม ไทสันไม่สามารถอะไรโฮลีฟิลด์ได้เลย จนกระทั่งเป็นฝ่ายโดนน็อกซะเองในยกที่ 11 ซึ่งถือเป็นความปราชัยในชีวิตการชกมวยเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีของ "มฤตยูดำ" หลังพ่าย บัสเตอร์ ดั๊กลาส แบบพลิกล็อกอีกด้วย
ขณะที่ด้านของ โฮลีฟิลด์ แม้จะเป็นชนะแต่คำพูดของเขาก็ไม่ได้หยามเหยียดไทสัน และยังชมด้วยซ้ำว่าการชกกับมวยอย่างไทสันถือเป็นสิ่งที่เขาชอบและเป็นกำไรของคนดู
"การชกกับ ไมค์ ไทสัน หรือ ริดดิก โบว์ คืออะไรที่สุดยอด คนพวกนี้ขึ้นชกเพราะอยากจะเอาชนะ และเมื่อคุณมาเพื่อจะชนะคนดูจะได้ดูโชว์ที่สนุก แต่เมื่อคุณขึ้นชกเพื่อแค่เอาตัวรอด เมื่อนั้นมันจะเป็นไฟต์ที่โคตรน่าเบื่อ" โฮลิฟิลด์ กล่าว
เหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ศึกระหว่าง ไทสัน กับ โฮลีฟิลด์ ดุเดือดเสมอคงหนีไม่พ้นเหตุผลที่ว่า เจ้าของฉายา "Real Deal" คือคนที่พร้อมจะให้โอกาสคนที่แพ้มาแก้มือหากว่าคิดว่าพร้อมจะเจอกับเขาอีกหน
มีนักมวยหลายคนบนโลกที่เก่งกาจแต่เมื่อคว้าแชมป์ได้เเล้วพวกเขามักจะหลีกเลี่ยงไฟต์ที่จะทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อความพ่ายแพ้ แต่ โฮลีฟิลด์ ไม่ใช่แบบนั้น
เขาพร้อมจะเจอกับคู่แข่งหินๆ เป็นครั้งที่ 2 หรือถ้ายังข้องใจก็พร้อมจัดครั้งที่ 3 ให้ได้ นั่นจึงทำให้ประวัติการขึ้นชกของเขาต้องเจอกับ ริดดิก โบว์ ถึง 3 หน, เลนน็อกซ์ ลูอิส 2 หน, ไมเคิล มูเรอร์ อีก 2 หน (แม้กรณีนี้เจ้าตัวจะเป็นฝ่ายขอรีแมตช์หลังแพ้ในครั้งแรกที่พบกัน) และที่แน่นอนที่สุดคือ ไมค์ ไทสัน ที่จะได้โอกาสแแก้มือเป็นครั้งที่ 2 เช่นกัน
สื่อยังคงเล่นข่าวกับนักมวยทั้งสองคนเหมือนเดิม และไทสันก็ยังเป็นคนเดิมที่มีความดุดันทั้งลีลาการชกและการให้สัมภาษณ์ ทำให้ "ศึกล้างตาของไทสัน" มีมูลค่ามหาศาล
ปี 1997 ไฟต์สำคัญถูกจัดขึ้นใน MGM แกรนด์ ลาส เวกัส เมกกะแห่งวงการกำปั้นยุค 90 ไทสัน มาพร้อมกับแรงมุ่งมั่นที่จะเอาคืน ส่วน โฮลีฟิลด์ ฟิตซ้อมมาอย่างเต็มที่ในแบบที่เขาเคยเป็น
ไฟต์นี้เป็นอีกครั้งที่ใครต่อใครคิดว่า ไทสัน จะเดินเกมรุกตั้งแต่หัววันเพื่อปลดเปลื้องความแค้นที่อยู่ในใจ
ทว่าความจริงแล้วมันไม่ง่าย โฮลีฟิลด์ ใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่าเดินหน้าเข้าใส่ไทสันในช่วงยกแรก ก่อนที่ยกที่ 2 จะมีปัญหาเกิดขึ้นจากจังหวะคลุกวงในที่ศีรษะของโฮลีฟิลด์ชนไทสันจนตาบวมเป่ง ทว่ากรรมการ มิลส์ เลน กลับไม่มีปฎิกิริยาใดๆ สำหรับเรื่องนี้ นั่นทำให้ ไทสัน แทบเสียสติเพราะเขามองว่า โฮลีฟิลด์นั้นจงใจ
การชกกันมาหนึ่งไฟต์ก่อนหน้านี้ทำให้ โฮลีฟิลด์ รู้ว่าไทสันเป็นพวกจุดเดือดต่ำ อดทนกับอะไรนานๆ ไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก เพราะเพียงแค่ศีรษะชนกันทีเดียว ไทสัน ก็ยอมทิ้งไฟต์นี้ที่รอคอยไปอย่างไม่น่าเชื่อ
"ผมโกรธมากที่เขาเอาหัวโขกผม ผมแค่โมโหและตอบโต้กลับไปแบบที่นักกีฬาหลายคนทำ ตอนนั้นผมอยากจะฆ่าคน อยากทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว" ไทสัน กล่าว
ระฆังยก 3 ดังขึ้น ไทสัน เดินออกจากมุมด้วยอาการหน้ามืดอยากจะทำให้โฮลีฟิลด์เจ็บปวดและพ่ายแพ้โดยไม่สนวิธีการ และเขาก็ทำมันจริงๆ "ทุกคนล้วนมีแผนการกันทั้งนั้น จนกระทั่งโดนกำปั้นซัดเข้าที่ปากนั่นแหละ ผมเกิดอยากชนะเขาขึ้นมาจนไม่สนวิธีการ เหมือนทหารที่ไร้วินัยและสูญเสียความสงบ"
ไทสันคลุกวงในและกัดเข้าที่ใบหูข้างขวาของโฮลีฟิลด์จนเนื้อขาดติดปาก ก่อนจะถ่มลงพื้นเวที ทำเอา โฮลีฟิลด์ กระโดดไปทั่วสังเวียนผืนผ้าใบด้วยความเจ็บปวด จนเกมต้องหยุดไป 2-3 นาทีเพื่อปฐมพยาบาลก่อนที่จะได้ชกกันต่อและ ไทสัน ถูกหัก 2 คะแนน
ระหว่างนั้นเขาพยายามจะบอกกรรมการว่าเขาเองก็โดนเล่นนอกเกมเหมือนกัน ทว่า มิลส์ เลน ตอบกลับเพียงว่า "ไร้สาระ หัวโขกมันเป็นอุบัติเหตุ แต่คุณพยายามจะกัดเขากี่รอบเเล้ว?"
แม้จะให้กลับมาชกต่อแต่ตอนนี้ดูเหมือน ไทสัน จะชอบใจที่ได้เห็นคู่ปรับตลอดกาลของเขาเจ็บปวดรวดร้าว ประกอบกับเขาเองก็น็อตหลุดไปเรียบร้อยเเล้ว นั่นคือเหตุที่ทำให้ไทสันพยายามจะกัดที่หูซ้ายของ โฮลีฟิลด์ เป็นครั้งที่สอง ซึ่งโฮลีฟิลด์ก็พยายามฟ้องกรรมการ แต่เกมยังดำเนินต่อจนกระทั่งหมดยก มิลส์ เลน ได้เข้ามาเห็นแผลที่หูของเขาจึงต้องประกาศยุติการชกไปในท้ายที่สุด
"ฟังนะ โฮลิฟิลด์ ไม่ใช่นักชกที่เก่งกาจเหมือนที่ทุกคนบอกว่าเขาเป็น นี่ไงหูของเขา”
"นี่คืออาชีพของผม ผมมีลูกเมียต้องดูแล แต่โฮลีฟิลด์พยายามจะทำให้ผมแพ้ด้วยการเอาหัวโขก แล้วทีนี้ผมตอบกลับอะไรได้บ้าง? ผมต้องชกต่อด้วยตาที่เห็นเพียงข้างเดียว"
ด้านฝั่งโฮลีฟิลด์ยังคงเป็นฝ่ายที่ใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้คำให้น้อยแต่สร้างความเจ็บใจให้มาก
“ที่ไทสันทำแบบนั้นก็เพราะว่าเขารู้ตัวว่าอีกสักพักเขาจะต้องโดนน็อคเเน่” โฮลีฟิลด์ พูดถึงศึกที่ทำให้เขาต้องหูแหว่ง
หลังจากจบไฟต์อัปยศนี้ ไทสันก็ถึงขาลงของชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ เขาถูกจับอีกครั้ง เมื่อไปชกต่อยกับเด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ 2 คน หลังเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนน หนนี้เขาสิ้นอิสรภาพไป 9 เดือน และหลังจากออกมาก็ได้รับการทาบทามให้ขึ้นชกกับ เลนน็อกซ์ ลูอิส ซึ่งผลก็คือไทสัน ในสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมแพ้เละเทะแบบสู้ไม่ได้ในยกที่ 8
ขณะที่ ไทสัน จบชีวิตนักมวยแบบไม่น่าจดจำนัก โฮลีฟิลด์ เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์มากมายก่อนจะประกาศแขวนนวมในปี 2012 ด้วยวัย 50 ปี
"มันเป็นเกมชีวิตที่ยอดเยี่ยมและผมหวังว่าผมจะเป็นผู้เล่นทีดีของเกมนี้ ตอนนี้ผมอายุ 50 ปีแล้ว และตอนนี้ผมได้ทำทุกอย่างในฐานะนักมวยคนหนึ่ง" โฮลีฟิลด์ กล่าว
หลังจากห้ำหั่นและถูกโยงถึงกันมาตลอดในช่วงที่ยังเป็นนักชก ถึงวันหนึ่งเมื่อทั้งคู่เเขวนนวมกลับกลายเป็นหนังอีกม้วนหนึ่ง ทั้งสองคนดูจะมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก และมักจะพูดถึงกันด้วยความเคารพเสมอ
"ในช่วงชีวิตของผมมีชายหลายคนที่กล้ามาบดบังรัศมีของผม หนึ่งในนั้นคือ โฮลีฟิลด์ เขาเป็นยอดคนมากที่สุดที่สุดผมเคย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับความจริงจุดนี้ ที่สำคัญเขายังเป็นคนที่มีจิตใจดีอีกด้วย"
ขณะที่ โฮลีฟิลด์ ยืนยันในตอนท้ายว่า ไทสัน ไม่ใช่คนที่เขาเกลียดชังแต่เป็นคนที่เขาเคารพยกย่อง รวมถึงที่ใครมองว่าเขาเป็นเพอร์เฟ็คต์แมนนั้น เจ้าตัวก็ปฎิเสธเพราะตัวเองก็ไม่ได้มีปูมหลังที่ดีมากมาย เพียงแต่เขามีจิตใจที่กล้าแข็งพอเท่านั้นเอง
"ผมเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งทีคอยส่งพลังให้… แม่ของผมเอง ก็เหมือนกับเรื่องราวของ ไมค์ ไทสัน ผมคงจะมีชีวิตวัยเด็กที่เละเทะเหมือนกับเขาหากแม่ของผมไม่เข้มเเข็งมากขนาดนี้ หลายๆคนรวมถึงไมค์อาจจะไม่รู้ว่าผมมาจากสลัม พวกเขาคิดว่าผมดีเพียบพร้อม ส่วนเหตุผลที่คนมองผมแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าแม่ของผมสอนผมเสมอว่า จงมองคนอื่นด้วยสายตาที่ให้ความเคารพพวกเขา"
ความบาดหมางของ 2 หนุ่มบนเวทีถูกกาลเวลากลั่นจนกลายเป็นมิตรภาพ บางครั้งการห้ำหั่นกับใครสักคนมาตลอดชีวิตอาจจะทำให้เรารู้จักเขาดีมากกว่าใครก็ได้
เมื่อหลายปีก่อน ไทสัน และ โฮลีฟิลด์ ถูกพิธีกรดังอย่าง โอปราห์ วินฟรี่ย์ สัมภาษณ์ร่วมกัน ซึ่งเนื้อหาใจความส่วนใหญ่เป็นการพูดถึงไฟต์อัปยศและความบาดหมางเมื่อครั้งอดีตจนดูเหมือนว่าพวกเขายังมีความแค้นในใจอยู่
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจังหวะปิดรายการ โอปราห์ ได้โยนคำถามที่ทั้งโลกอยากรู้ให้กับไทสัน
“คุณมีอะไรอยากจะบอก โฮลีฟิลด์ หรือเปล่า?”
"นี่คือลูกผู้ชายที่น่าเคารพ ผมและเขาต่างมีจุดเริ่มต้นจากแหล่งเสื่อมโทรมก่อนจะกลายเป็นที่ยอมรับในฐานะยอดนักชก"
ไทสัน พูดจบก็ยื่นมือให้กับ โฮลีฟิลด์ ที่นั่งอยู่ข้างๆ และตอบกลับสั้นๆ ว่า "โอเค" พร้อมกับรอยยิ้มและทั้งสองคนก็จับมือกัน… ไม่มีคำพูดใดมากกวานั้น
แหล่งอ้างอิง
https://www.theguardian.com/sport/2017/jun/28/mike-tyson-bites-evander-holyfield-both-ears-boxing
https://www.tribecafilm.com/stories/10-best-quotes-from-the-champs-premiere-mike-tyson-evander-holyfield
https://www.azquotes.com/quote/965046
https://www.wdsu.com/article/20-years-ago-the-bite-fight-turned-boxing-on-its-head-tyson-holyfield/10234672
https://en.wikipedia.org/wiki/Mike_Tyson
https://en.wikipedia.org/wiki/Evander_Holyfield