แม้จะเอ่ยปากว่ามีความท้าทายสูง แต่ "ก้อง - สมเกียรติ จันทรา" นักบิดสัญชาติไทยของทีม อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ก็สามารถปิดฤดูกาล 2021 ในระดับ โมโต 2 ซึ่งอยู่รองลงมาจาก โมโตจีพี เพียงขั้นเดียว ด้วยการทำได้มากถึง 37 คะแนน พร้อมทั้งเป็นเจ้าของ Fastest Lap มาครองได้สนามนึงอีกด้วย
ทีมงาน Main Stand ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าตัวถึงประสบการณ์และสิ่งที่นักบิดวัย 22 รายนี้ได้เผชิญมาตลอดอาชีพของตน ว่ามีความท้าทายและต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรบ้าง
สมเกียรติ เริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักบิดของตนด้วยการเป็นหนึ่งในเด็กปั้นของโครงการ "ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม" ที่ต้องการผลักดันนักแข่งชาวไทยให้ไปสู่รายการสูงสุดอย่าง โมโตจีพี ภายในปี 2025
แม้จะโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรงในรายการ เชลล์ แอดวานซ์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ เมื่อปี 2015 แต่จากอาการบาดเจ็บที่รบกวนก็ทำให้ ก้อง ต้องพลาดการลงแข่งในบางเรซไปอย่างน่าเสียดาย ทว่าในปี 2016 เจ้าตัวกลับมาด้วยร่างกายที่สมบูรณ์ ก่อนจะคว้าแชมป์ประจำปีในรายการนี้ได้สำเร็จ ทำให้ได้รับโอกาสไปแข่งขันในทวีปยุโรปกับรายการ โมโต 3 เยาวชนชิงแชมป์โลก ในปี 2017 และ 2018
และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสแสดงฝีมือในเวทีระดับโลกเป็นครั้งแรก ด้วยการได้ไวลด์การ์ด ลงแข่งรุ่น โมโต 3 ในการแข่งขัน โมโตจีพี ที่มาจัดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ณ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2018 ก่อนจะพารถฮอนด้าเข้าเส้นชัยด้วยอันดับ 9 และได้ขึ้นมาแข่งรายการ โมโต 2 กับทีม อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
ปี 2021 อันเป็นซีซั่นที่สามของ ก้อง ในรุ่น โมโต 2 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่เจ้าตัวทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่เริ่มแข่งขันมาเลยทีเดียว โดยมีไฮไลท์เป็นการจบอันดับ 5 ในรายการ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ พร้อมกับทำเวลาเร็วที่สุดต่อหนึ่งรอบ หรือ Fastest Lap ได้อีกด้วย
นักบิดหนุ่มวัย 22 ปี เปิดเผยระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า "สนามที่ออสเตรียเป็นสนามที่ค่อนข้างชอบครับ เพราะมันเป็นสนามที่คล้าย ๆ กับที่ประเทศไทยเรา คล้ายกับบุรีรัมย์ เป็นแนวแบบที่ใช้เบรกค่อนข้างที่จะหนัก เป็นทางตรงค่อนข้างเยอะ ทำให้เราเคยชินกับสนามคล้าย ๆ แบบนี้"
นอกเหนือจากนั้นเจ้าตัวยังทำผลงานได้ดี ด้วยการจบอันดับ 8 ในรายการ สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ ซึ่งแข่งกันที่สนาม เรดบูล ริง เหมือนกับ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ แถมยังจบอันดับ 9 ในรายการ คาตาลัน กรังด์ปรีซ์ ฤดูกาลนี้เช่นกัน
แม้ปีนี้จะทำผลงานได้ดีแล้ว แต่ สมเกียรติ ก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองต่อไปอีก พร้อมกับเปิดเผยการฝึกซ้อมในไทยของตนไว้ว่า "การเตรียมตัวของผม ก็ได้มีการมาซ้อมกันที่บุรีรัมย์ เพราะว่าเตรียมแผนไว้ว่าปีหน้าเราจะทำยังไงต่อ เราได้มีการซ้อมแล้วก็ออกกำลังกายอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักรยาน เข้ายิม วิ่ง ซ้อมเดิร์ต (เดิร์ตแทร็ก - สนามที่ทำมาจากดิน ไม่ได้ลาดยาง) คือทุกอย่างเลยครับ"
และถึงจะอยู่ห่างจากเหล่าทีมช่างและวิศวกรกันแบบคนละฟาก แต่เจ้าตัวก็ยังได้ติดต่อพูดคุยกับทางหัวหน้าช่าง เพื่อวางแผนการซ้อมและเตรียมตัวให้พร้อมกับมาแข่งขันต่อในฤดูกาลหน้าอยู่เสมอ
ซึ่งนั่นนำมาสู่อีกหนึ่งคำถามสำคัญ คือเรื่องทักษะการสื่อสารของนักแข่งโดยเฉพาะชาวเอเชีย ที่ไม่ได้มีภาษาอังกฤษหรือสเปนเป็นภาษาหลักโดยกำเนิดด้วยแล้ว จะเป็นอุปสรรคอะไรต่อการแข่งขันหรือไม่ ?
วลีที่ยกมาในหัวข้อข้างต้น คือสิ่งที่ ฟิล์ม รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ อดีตนักบิด โมโต 2 คนแรกของไทย และปัจจุบันเป็นโค้ชให้กับ ก้อง เปิดเผยกับทีมงาน Main Stand เมื่อถูกถามถึงความท้าทายด้านภาษาที่นักแข่งมอเตอร์สปอร์ตต้องเผชิญ
"ประสบการณ์ที่เราได้เข้าไปอยู่ในทีมที่เป็นระดับมืออาชีพ การทำงานมันค่อนข้างยาก คือส่วนใหญ่เราต้องไปปรับตัว อย่างก้องเองเรื่องภาษาก็ต้องบอกว่าถ้าให้พูดภาษาสเปนสัมภาษณ์นี่ก็พูดได้เลยนะครับ (หัวเราะ) คือภาษาเนี่ยจะบอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการคุยกับคนสเปนที่ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงสเปนตลอดทั้งวัน คือเราก็อาจจะฟังยากนิดนึง ตรงนี้เราก็ต้องไปปรับตัว"
เมื่อถูกถามถึงพัฒนาการของ สมเกียรติ เจ้าตัวได้ให้ข้อมูลมาว่า "ก็ได้เห็นภาษาของน้องที่ดีขึ้น ในการพูดคุยภาษาอังกฤษเองหรือภาษาสเปนที่พัฒนาขึ้น ก็เป็นเรื่องตรงนี้แหละที่อาจต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากกว่าขับขี่ให้เร็วด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าเราคุยกับทีมไม่เข้าใจก็จะขับรถหรือขี่รถในสนามได้ค่อนข้างยากในเรื่องการปรับเซต"
โค้ชฟิล์ม ได้เปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปสรรคที่ก้องได้ประสบพบเจอ นั่นคือเรื่องของความกดดัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกมากนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องเตรียมตัวลงแข่งในรายการระดับโลกแบบนี้
"ในมุมของผมที่มองอยู่ ก็เห็นเรื่องความกดดัน อย่างการฝึกซ้อมนี่ก้องจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่จะมีปัญหาช่วงรอบควอลิฟายที่อาจมาเป็นอุปสรรคบ้าง แต่ว่าในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาผมเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น"
ด้านเจ้าตัวก็ออกมายอมรับว่า "สำหรับผม ในช่วงปีแรกจะมีความกดดันค่อนข้างเยอะครับ แบบเราตื่นสนามด้วย เพราะเราไม่เคยไปแข่งในสนามระดับโลกในหลาย ๆ ประเทศ แต่ตอนนี้พอเข้าปีที่ 3 ผมก็รู้สึกว่าโอเคขึ้นนะครับ เพราะเรามีความกดดันที่น้อยลง"
"ถ้าเรายิ่งกดดันมาก พอเราลงไปทำเวลาหรือว่าลงไปกดเวลาในแต่ละรอบ มันจะค่อนข้างยาก เหมือนกับสมองเรามันไม่โล่ง" โดย สมเกียรติ ยกตัวอย่างว่า ถ้าเขาไม่ได้เคลียร์ความคิดของตนให้ปลอดโปร่งแล้ว จะไม่สามารถออกไอเดียหรือให้ความเห็นใด ๆ กับช่างได้เลย ซึ่งเมื่อทำได้ดียิ่งขึ้น มันก็สะท้อนผ่านผลงานของเจ้าตัวที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ในตอนนี้ ก้อง ยังคงฝึกซ้อมและเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลถัดไปอยู่ หลังเจ้าตัวได้จรดปากกาต่อสัญญากับทีมไปแล้ว โดยยังได้จับคู่กับ ไอ โอกุระ เพื่อนร่วมทีมชาว ญี่ปุ่น โดยได้แก้ไขข้อผิดพลาดระหว่างเปิดคันเร่ง และปัญหาเรื่องกริปของยาง รวมถึงตัวรถและแทคติกของทีมที่ยังมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไม่แน่ว่าในสักวันหนึ่งที่อาจจะเป็นเร็ววันนี้ ชื่อของ สมเกียรติ จันทรา อาจไปปรากฏอยู่ในลิสต์ออกสตาร์ทของระดับ โมโตจีพี ตามที่ใครหลายคนคาดหวังไว้ก็เป็นได้